/ # Review / 4 min read

[Review] Fahrenheit 11/9 (2018): การเมืองที่พาคนอย่างทรัมป์ขึ้นสู่อำนาจ

คุณอาจจะทั้งขำ ร้องไห้ อบอุ่น หรือมีความหวังไปกับสารคดีใหม่ของ ไมเคิล มัวร์ ผู้พาเราไปท่องโลกผ่าน Where to Invade Next (2015) และชวนอเมริกันออกไปโหวตต้านทรัมป์อย่าง Michael Moore in TrumpLand (2016)

ปีนี้เขากลับมาอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงและลีลา ที่จิกกัดได้อย่างเจ็บแสบ พร้อมมุขตลกเสียดสี และความหมกมุ่นของเขากับทรัมป์ ในสารคดีชื่อ Fahrenheit 11/9 โดยชื่อสารคดีบิดมาจาก Fahrenheit 9/11 (2004) ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้เขา ผนวกกับวันที่ทรัมป์ชนะได้เป็นประธานาธิปดี (เดือน 11 วันที่ 9)

มัวร์ได้ใช้ลีลาอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา คัดสรรและตัดต่อ Footage จากข่าว รายการทีวีต่างๆ และที่เขาไปถ่ายมาเอง มาร้อยเรียงต่อกัน นำมาขยี้ให้เกิดอารมณ์ ทั้งความเศร้ากับการกระทำโง่ๆ หรือความฮากับการกระทำบ้าบอของเหล่าผู้มีอำนาจทั้งหลาย

ภาพยนตร์เริ่มต้นโดยแสดงให้เห็นความหยิ่งผยองของเหล่าเดโมแครต ที่เชื่อว่าคนบ้าๆ อย่างทรัมป์ไม่มีคงทางชนะแน่นอน เปิดไปสื่อไหนช่องใดก็ต่างบอกฮิลลารี่จะชนะจนเบื่อ แต่สุดท้าย พรรควัวลืมตีนอย่างเดโมแครต ที่เตรียมจัดงานเฉลิมฉลองอย่างใหญ่โตก็พ่ายแพ้ไป

มัวร์ฉายภาพของทรัมป์ในฐานะผู้ชายที่น่าขยะแขยง ชอบเหยียดเชื้อชาติ เป็นเผด็จการ (มัวร์นำวิดีโอที่ฮิตเลอร์พูดในสภาฯ มาใส่เสียงที่ทรัมป์พูดแทนเลยทีเดียว) และไม่ยอมแม้แต่จะซ่อนเร้นความใคร่ เขาไม่ได้ตั้งใจเป็นเป็นประธาธิปดีเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะเพียงแค่เขาได้รับเงินจากช่อง NBC น้อยกว่า เกว็น สเตฟานี เลยเป็นเหตุเริ่มต้น—ตามที่มัวร์บอก—ให้ลองเริ่มเดินตามเส้นทางสู่ทำเนียบขาว

ภาพตัดไปที่บ้านเกิดของผู้กำกับ เมืองฟลินท์ รัฐมิชิแกน ที่เขาอ้างว่าเคยมีประสบการณ์กับ คนอย่างทรัมป์ มาก่อนแล้วอย่าง ริก สไนเดอร์ ผู้เริ่มต้นนโยบายบ้าๆ อย่างการเปลี่ยนแหล่งน้ำบริโภคจากแหล่งที่สะอาดอยู่แล้วเป็นแหล่งที่สกปรก เด็กๆ ในเมืองต่างมีสารตะกั่วอยู่ในร่างกายโดยที่เขาไม่รู้สึกอะไร สิ่งที่ทำให้เขาพอขยับได้คือบริษัทยักษ์ใหญ่ที่บริจาคเงินให้เขาเป็นจำนวนมาก ได้รับผลกระทบจากแหล่งน้ำไร้คุณภาพนี้เท่านั้น

ความหวังสุดท้ายอย่างประธานาธิปดีที่ประชาชนเลือก ณ เวลานั้น บารัค โอบามา ก็มาเยือน พร้อมทิ้งความผิดหวังแก่ชาวเมืองฟลินท์ เพราะเขามาเพื่อรอมชอมและช่วยเหลือพวกชนชั้นนำในเมืองเท่านั้นเอง!

fahrenheit119_moore

นอกจากการทำตัวกวนๆ ของมัวร์แล้ว เขายังตอกย้ำความล้มเหลว ความปลิ้นปล้อน และการประนีประนอมที่มากเกินไปของเดโมแครตกับชนชั้นนำ แบบเดียวกับที่โอบามาทำ ผ่านสิ่งที่พรรคทำกับ เบอร์นี่ แซนเดอร์ส หนึ่งในผู้สมัครตัวแทนของพรรค โดยการโกงผลการโหวตและการใช้สื่อในมือเพื่อสร้างการรับรู้ผิดแบบผิดๆ เพราะชนชั้นนำในพรรคไม่คิดว่าเบอร์นี่เหมาะสม และอุดมการณ์ของเบอร์นี่ที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้สนับสนุนหลักของพรรคได้ พวกเขาไม่เชื่อในเสียงของประชาชนที่สนับสนุนพรรค

เสียงที่ไม่ได้ถูกรับฟัง และความเบื่อหน่ายในชนชั้นนำของพรรค นำไปสู่ความสิ้นหวังในระบอบประชาธิปไตย และการไม่เห็นความสำคัญของการเลือกตั้ง สุดท้ายจึงมีผู้ที่ไม่ได้ไปลงคะแนนเสียงเป็นเสียงส่วนใหญ่ในประเทศ เราจึงเห็นปรากฏการณ์ว่า แม้ไม่ว่าโพลใด ก็พบว่าอเมริกันเป็นประเทศที่อุดมการณ์ดูเอียงไปทางซ้าย ชัยชนะก็กลับไปอยู่กับอีกฝ่าย

fahrenheit-1444-1537954284

ทว่า มัวร์มิได้ต้องการให้ภาพยนตร์ของเขาฉายแต่ภาพอันสิ้นหวัง หรือภาพที่ตลกร้ายกับผู้ชมเท่านั้น เขามอบความหวังแก่คนดู ผ่านการพูดถึง 'นักสู้' ที่เกิดขึ้นมาภายหลัง อย่างครูรัฐเวสต์เวอร์จิเนียที่รวมตัวกันประท้วงเพื่อสิทธิของตนจนชนะ แม้ว่าสหภาพแรงงานจะไม่ค่อยอยากสู้เสียเท่าไหร่ กลุ่มนักเรียนไฟแรง ที่เคลื่อนไหวประเด็นการครอบครองปืนหลังจากโศกนาฎกรรมที่โรงเรียนของพวกเขา และเหล่านักการเมืองรุ่นใหม่ที่ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจเก่าภายในพรรค พร้อมเปลี่ยนแปลงและสู้กับอุดมการณ์ของตัวเอง

เชื่อว่าเวลาสองชั่วโมงเศษที่อยู่ในโรง จะทำให้ผู้ชมไม่ว่าจะมาจากประเทศใด ได้ลองย้อนมองประเทศของตนจนไม่รู้สึกตลกร้ายก็น้ำตาซึม จากหลายปัญหาที่ดูแล้ว ประเทศกู(ก็)มี เหมือนกัน พร้อมๆ กันนั้น ผู้ชมคงเริ่มตระหนักถึงคุณค่าของเสียงของเราในระบอบประชาธิปไตยมากขึ้นตามไปด้วย—ในฐานะสิ่งที่เราต้องปกป้อง และใช้สร้างความเปลี่ยนแปลง

ติดตามรายละเอียด การฉาย Fahrenheit 11/9 และรีวิวได้ผ่าน เพจเฟซบุ๊กของ Documentary Club

[Review] Fahrenheit 11/9 (2018): การเมืองที่พาคนอย่างทรัมป์ขึ้นสู่อำนาจ
Share this