/ # YWC / 9 min read

เส้นทางสู่ YWC16 กับสิ่งที่ไม่ได้พูดออกไป

เราไม่เคยคิดว่าเราจะมาถึงจุดนี้เลย

เผลอแป๊บเดียวก็มาถึงสถานี Young Webmaster Camp เสียแล้ว (ฝันปะเนี่ยยยย)

เรารู้จัก YWC เมื่อเห็นโพสต์โปรโมตค่ายครั้งที่ 12 บนเฟซบุ๊ก แม้ว่าความสนใจเว็บ ณ ขนาดนั้นจะลดลง แต่เราก็อยากลองเข้ามาสู่โลกแบบนี้ซักครั้งดู เลยได้ไปแวะ Junior Webmaster Camp เป็นสถานีแรกในเส้นทางใหม่นี้

เมื่อตอนปิดเทอม ม.3 รถไฟก็เริ่มเดินทางจากสถานีแรก JWC8 น่าจะช่วงเดียวกับที่บล็อกนี้เกิดขึ้นมาในเซิร์ฟเวอร์นี้

รถไฟบนเส้นทางนี้ยังคงวิ่งต่อไป ผ่านไปจอดที่สถานี JWC9 และ JWCx ในฐานะพี่บ้าน

และแล้ว อยู่ดีๆ รถไฟขบวนนี้ก็ถูกอัพเกรดอย่างกระทันหัน ทำให้วิ่งมายังสถานี YWC16 ก่อนกำหนดที่คิดไว้

สถานีที่ 1 สู่ YWC : สมัครค่าย

เราลังเลมากกว่าจะสมัครได้ หลังจากการปรับเป็นอายุ 18-24 เป็นปีแรก เพราะดูวันแล้วติดสอบกลางภาค เทอมหนึ่งก็เคยทำให้โรงเรียนวุ่นวายแล้ว เทอมสองเรายังจะเอาอีกเหรอ ความสามารถก็ไม่ได้เยอะ แถมอายุก็ยังน้อย ปีต่อๆ ไปก็ยังมีอีก

แต่สุดท้ายก็สมัคร เพราะไม่รู้ว่าถ้าไม่สมัครตอนนี้ ก็ไม่รู้จะสมัครมันตอนไหนละ ถือว่าขยายขีดจำกัดของเราไปอีก เลยเลือกสาขา Web Content ไป เพราะอินที่สุดจากสี่สาขา แล้วมากรอกใบสมัครเอาวันสุดท้าย เพราะช่วงนั้นยุ่งมาก ตัวคำถามแบ่งเป็นคำถามกลาง ซึ่งก็วัดทัศนคติเรา อีกพาร์ทคือคำถามสาขา ซึ่งกว่าจะทำเสร็จก็เล่นเอาเหนื่อยมาก ใครจะเข้ามาอ่านจะมาปีหน้าขอให้รีบทำนะ

สถานีที่ 2 : สัมภาษณ์

เนื่องจากค่าย YWC เนี่ยปีนึงสมัครกันประมาณ 1,000 คน แต่รับแค่ 80 คน ใบสมัครที่กรอกทางเว็บจึงไม่พอ ต้องมาฝ่าด่านกรรมการกันก่อน พร้อมกับการบ้านที่ต้องทำ ในปีนี้การบ้านมีสองข้อ ซึ่งยากมากๆ โดยให้เลือกทำหนึ่งข้อ ได้แก่ 1.ให้สรุปรายการเดินหน้าอนาคตประเทศไทยมา 1 ตอน 2.ให้ความรู้เกี่ยวกับระบอบเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง โดยทั้งสองทำคอนเทนต์แบบไหนก็ได้ เลือกยากมาก แต่สุดท้ายเราเลือกข้อสอง เพราะรู้สึกมันท้าทายกว่า

สุดท้ายเราก็มาทำเอาวันเสาร์ ไปสัมภาษณ์วันอาทิตย์ พร้อมทำพอร์ตรูปแบบเว็บในวันอาทิตย์เลยด้วย (นั่งปั่นที่ True Coffee ข้างล่าง) ณ CP Tower สีลม ตรงนี้ต้องขอบคุณมิตรสหายท่านหนึ่งมากที่ให้ยืม Macbook เพราะโน๊ตบุ๊กเราแบตเสื่อม กราบ

ระหว่างรอคิวไปก็รู้สึกเกร็งๆ กังวลเล็กๆ ทั้งที่ปกติจะไม่เป็นแบบนี้เวลาสัมภาษณ์ แต่พอเข้าไปเจอพี่ๆ กรรมการทั้งสี่คนแล้วกลับรู้สึกปลดล็อกขึ้นซะงั้น (ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นหรือเปล่านะอันนี้ 5555)

การสัมภาษณ์ 8 นาที เริ่มต้นด้วยการแนะนำตัว พรีเซนต์ตัวเองเต็มที่ ต่อมาก็การบ้านที่เราทำมา แล้วก็จะมีคำถามวัดกึ๋นเรามาเรื่อยๆ พยายามจัดการเวลาให้ดีนะ

มีคำถามนึงที่เราตอบไว และไม่ลังเลมากที่สุดจากกรรมการคือ คำถามที่ว่าจะกลับมาทำค่ายต่อไหม ซึ่งแน่นอนว่าทำครับ!

สถานีที่ 3 : At the Camp

คงจะแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ ส่วนของการเรียน กับส่วนเวิร์กช็อป

ส่วนของการเรียนนี่เรียกได้ว่าคุ้มมากๆ เพราะทุกคนที่ได้เข้ามาจะได้เรียนกับวิทยากรสุดเทพในค่าย หาโอกาสแบบนี้ไม่ง่ายแน่ๆ สำหรับคอนเทนต์ เซสชั่นแรกได้เจอกับพี่แชมป์-ฤทธิกร Co-Founder ของ echo เพจที่ทำคอนเทนต์วิดีโอได้โคตรสนุก (ก.สิบล้านตัว) แต่ว่า Topic ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ มาคุยกันเรื่อง Traditional และ New Media

ส่วนอีกเซสชั่น เป็นพี่ปอง-จักรพงศ์ (@Jakrapong) กำลังทำเอเจนซี่ชื่อ Moonshot และเว็บไซต์ Thumbsup และพี่อีกคนนึง คือพี่เอ็ม-ขจร (@Khajochi) ผู้สร้างเว็บมาทั้ง MacThai และ MangoZero นั่นเอง พี่ๆ ทั้งสองท่านได้มาพูดคุยและให้สิ่งที่สำคัญมากๆ (หรืออาจจะที่สุด) ในการทำคอนเทนต์ ซึ่งจะเป็นอะไรนั้น

ก็ต้องมาเข้าค่ายจ้า 5555

แน่นอนว่าการได้ฟังวิทยากรระดับเทพขนาดนี้ นอกจากจะได้รับความรู้ใหม่ๆ แล้ว ยังได้เปิดมุมมอง มองเห็นความเป็นไปได้ และได้ตรวจดูสิ่งต่างๆ ที่แต่ก่อนเราได้ทำลงไปอีกด้วย

อีกส่วน หรือ Main course ของค่ายอย่างแท้จริง ก็คือโปรเจคค่าย ที่ต้องไปเวิร์กช็อป ปั่นกันให้เสร็จ และนำเสนอกรรมการจากทั้งสี่สาขานั่นเอง เราได้ไปอยู่ Team A ซึ่งประกอบไปด้วย พี่ก็อต พี่ดิว (ช-ญ) พี่แป้ง พี่เล็ก พี่วิน พี่โอ๊ต และพี่บ้าน 2 คนคือพี่ฟาง และพี่ทน ผู้คนจากหลากหลายที่มาอยู่ดีๆ ก็โดนจับมา Brainstorm เพื่อคิดโปรเจคในค่ายซะงั้น

หลังจากคิดมาหนึ่งไอเดียแรก แล้วดูจะไม่เวิร์กจนต้องโละทิ้งกันใหม่ เราก็ได้ไอเดียใหม่ จาก Pain Point คือ การตามหาสัตว์เลี้ยงที่หายไปมันยากเย็นเสียเหลือเกินในโซเชียล เพราะต้องไปโพสต์เป็นสิบๆ ที่ คิดโซลูชั่นประมาณนึง ทำ Prototype และปรึกษาพี่ๆ ซีเนียร์กันอย่างเหน็ดหน่วงแล้ว วันรุ่นขึ้นเราก็ได้ลงไปสัมภาษณ์กับผู้คน ชุมชนจริงๆ โดยค่ายเราก็จัดรถสองแถวให้กลุ่มละคันกันไปเล้ย จะมีค่ายไหนทำขนาดนี้ได้ไหม

เมื่อถึงคืนที่สอง เราก็ได้มานั่ง Brainstorm คิดหาโซลูชั่น ฟีเจอร์ วางแผนที่จะเข้าสู่เวิร์กช็อป 10 ชั่วโมงในวันรุ่งขึ้น

ในวันเวิร์กช็อปจริงๆ ทุกอย่างเริ่มต้นตามแผนและหน้าที่ของแต่ฝ่าย ทุกคนขยันขันแข็งกันมาก ระหว่างทางมีทั้งปัญหา ทำแล้วไม่เป็นแบบที่คิดบ้าง มีการปรับเปลี่ยน การเพิ่มอะไรเข้ามากระทันหัน แน่นอนว่า ถ้าตรงจุดนี้ทุกคนภายในกลุ่มไม่เชื่อใจ ไม่ไว้ใจคนที่รับผิดชอบแต่ละส่วนแล้ว งานก็คงไม่เสร็จออกถึงเพียงนี้แน่ๆ ต้องขอบคุณพี่แป้ง พี่ดิว ที่ช่วยเดฟ โดยเฉพาะพี่แป้งที่แทบจะลีดกลุ่มไปแล้ว พี่โอ๊ต พี่ดิวสำหรับการวางแผน และการตลาดดีๆ พี่วินกับพี่ก็อตสำหรับดีไซน์ระดับเทพ และพี่เล็กที่มาทำคอนเทนต์เว็บไปด้วยกัน ตรงนี้แหละ ที่ทำให้เราคิดว่าถ้ากลุ่มขาดใครไป งานก็จะไม่เกิดขึ้นเลยจริงๆ

ขอบคุณพี่ซีเนียร์หลายคนด้วย ที่เข้ามาช่วยแนะนำในระหว่างเวิร์กช็อป ตอนเกิดปัญหาทางเทคนิก

ส่วนผสมทั้งหมดนี้ อันลงตัวนี้ ทำให้เกิดเป็น Delsaver ขึ้นมาาาาาา

delsaver

ทว่า เอาเข้าจริงเราก็ยังรู้สึกว่า เรายัง Contribute ให้กลุ่มได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร หลายอย่างเราทำช้าเกินไป หลายอย่างที่จริงๆ เราช่วยได้มากกว่านี้ก็เหมือนกับว่ายังไม่ได้ใช้พลังให้เต็มที่จริงๆ ยัง Push ตัวเองไม่สุดดดด :'(


หลังจากผ่านเวิร์กช็อปไปได้ ทางค่ายก็เล่นใหญ่ จัดปาร์ตี้ให้คนได้ปลดปล่อยกัน ถึงแต่ละคนจะเหนื่อยเกินที่จะมาเต้นมาอะไรแล้ว 5555 ในธีมผี (แต่นี่ใส่ชุดปฏิบัติธรรม—อิเวง) มีการจับสลากของขวัญวันคริสต์มาส ก่อนจะไปเตรียมพรีเซนต์ในวันพรุ่งนี้ วันสุดท้ายของค่าย แต่ก่อนหน้านั้นก็ได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้น จนเกิดเป็น...

คำเตือนที่สำคัญที่สุด! เวลาคนในกลุ่มนัดกัน สมมตินัด 5 ทุ่มครึ่ง แล้ว ณ ขนาดนั้นเวลา 5 ทุ่ม 20 นาที ไม่ควรคิดจะหลับพักสายตาซักสิบนาทีเก๋ๆ เด็ดขาด! ก่อนที่จะทำให้เพื่อนเดือนร้อนไปขอกุญแจจากโรงแรมมาเปิดห้องเพื่อปลุก 55555

วันพรีเซนต์ก็เริ่มต้นขึ้น พี่ดิว (ญ) และพี่เล็กรับผิดชอบการพรีเซนต์ ซึ่งต้องให้เครดิตทั้งสองคนมากๆ กรรมการก็คอมเมนต์งานตามเนื้อผ้าไม่มีกั๊กจริงๆ ทำให้เราเห็นช่องโหว่ของงานอีกแยะเลย


ไลฟ์เฟซบุ๊กการพรีเซนต์


รถไฟนรก เอ้ย รถไฟแห่งความสุข ทีมเดฟนี่สุดจริงๆ

บุคคลที่ต้องให้เครดิตจริงๆ สำหรับโปรเจค คือพี่บ้านทั้งสองคน ทั้งพี่ฟางและพี่ทน ที่ซัพพอร์ตสุดๆ คอยสังเกตและช่วยเหลือให้เราไปสู่จุดหมายของเส้นทางที่เราเลือก ยอมในความใส่ใจแม้ว่าพี่ๆ จะเหนื่อยกับงานอื่นอีกตั้งเยอะจริงๆ

รวมถึงพี่ๆ ซีเนียร์หลายคน โดยเฉพาะกลุ่มพี่แอ๊ม พี่บอส ที่กลุ่มเราไปหาบ่อยมากกกกก (ถึงนี่จะไม่ได้พูดอะไรตอน Consult เท่าไหร่) แม้ว่าจะปฏิเสธได้ บอกว่าพี่จะไปธุระได้ ไปนอนได้ แต่ก็อยู่ให้คำแนะนำจนจบ อันนี้คือต้องกราบจริงๆ

สถานีที่ 4 : จริงๆ แล้วอะไรคือสิ่งที่ค่ายให้เรา?

jwctoywc

จาก JWC8 ถึง YWC16 เสียดายหา Dropbox J8 ไม่เจอ :'(
หน้ายิ้มเหลืองยังไงก็เป็นอย่างงั้นจริงๆ จนอยากตั้ง Event เปลี่ยนรูปโปรไฟล์เฟซบุ๊กตัวเอง 5555

จากการเข้าไปในค่ายตั้งแต่ JWC8 ถึง JWCx เราเชื่อว่าอย่างสนิทใจเลยแหละว่าค่ายนี้ให้อะไรเราบางอย่างแน่นอน ค่ายนี้สามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้แน่นอน แต่อาจจะเพราะเราเป็นคนหัวช้า เราเลยมองไม่ออกอย่างชัดเจนเสียทีว่า อะไรกันแน่นะที่ทำให้ค่ายนี้เปลี่ยนชีวิตคนได้จริงๆ ? สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองและคนอื่นหลังจากเข้าค่ายนี้คืออะไรกันแน่? คอมมูนิตี้ที่ดีเหรอ ความรู้ที่อัดแน่นในค่ายเหรอ ประสบการณ์ในค่ายเหรอ ภาพในหัวมันมัวๆ ไปหมด

และแล้วก็ถึงวันที่เราได้เข้าไปใน YWC16 และได้เห็นคนที่ออกจากค่ายมาเขียนรีวิวว่าตัวเองเปลี่ยนไปแค่ไหน เราถึงเริ่มเข้าใจว่า ที่จริงแล้ว สิ่งที่ทำให้ค่ายนี้เปลี่ยนชีวิตคนได้คือ การที่ค่ายไปเปลี่ยน กระบวนการทางความคิด ของใครบางคนได้จริงๆ ผ่านหลายสิ่งหลายอย่างภายในค่าย กระบวนการที่ว่าไม่ได้สำคัญน้อยไปกว่าความรู้ความสามารถเลยทีเดียว พอหลายคนต่างมีวิธีคิดที่เปลี่ยนไป มองทั้งตัวเองและโลกแตกต่างออกไป สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็เปลี่ยนชีวิตของพวกเขาเอง ไม่ได้ให้ใครต้องมาจับมือเปลี่ยนเขา

นอกจากนี้ ยังมีคอมมูนิตี้ดีๆ ที่คอยซัพพอร์ต และส่งต่อสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นกับรุ่นใหม่ๆ ต่อไป

สถานีกลาง : คุณจะขึ้นชานชาลาไหน

หลังจากคุณได้เดินทางมาในเส้นทาง YWC ผ่านการใช้ชีวิตอยู่ในค่ายมา 4 วัน 3 คืน จนมาถึงสถานีสุดท้ายภายในค่าย ก็คงถึงเวลาที่จะกลับขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางต่อไป ทว่าสถานีรถไฟนี้ไม่ได้มีเพียงชานชาลาเดียวหรอกนะครับ ที่เราเลือกขึ้นได้คงจะมีอยู่ประมาณสองชานชาลาหลักๆ

คราวนี้ ก็คงอยู่ที่ตัวเองแล้วแหละครับว่าจะเลือกขึ้นชานชาลาไหน :)


ปล.นี่ใช้รถไฟ สถานี ชานชาลาอะไรนี้ เพราะระบบสุ่มปีนี้ล้วนๆ เลยนะเนี่ย 55555

เส้นทางสู่ YWC16 กับสิ่งที่ไม่ได้พูดออกไป
Share this