/ # Review / 11 min read

[Review] “Kimi no Na wa” ความลงตัวจากเอกลักษณ์ทั้งหมดของ Makoto Shinkai

คำเตือน: มีสปอย

วินาทีนี้ ภาพยนตร์อนิเมชั่นที่มาแรงที่สุด “Kimi no na wa”, “Your name.” หรือในชื่อไทย “หลับตาฝัน ถึงชื่อเธอ” ก็ได้เข้าโรงภาพยนตร์ไทย และได้รับการตอบรับที่ดีจากตั้งแต่รอบสื่อ จนไปถึงรอบปกติ จากทั้งในไทยและต่างประเทศด้วยกัน ถือเป็นความประสบความสำเร็จครั้งใหญ่ที่สุดของผู้กำกับ “Makoto Shinkai” ที่สามารถนำภาพยนตร์ขึ้นอันดับ 1 ที่ญี่ปุ่นไปได้กว่า 9 สัปดาห์ด้วยกัน

ส่วนตัวผมแล้วก็อดใจไม่ไหวตั้งแต่เข้าฉายที่โรงญี่ปุ่น เลยโหลด “เถื่อน” มาดูซะก่อน (แย่จริง) ในตอนนั้นสัญญากับตัวเองว่าถ้าหนังออกที่ไทยก็จะไปดู และซื้อแผ่นเป็นการไถ่โทษ (ฮา) อย่างไรก็ดี วันที่เผยแพร่บทความนี้ ผมก็คงดูภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ไปเรียบร้อยแล้ว

ถ้าจะให้สารภาพตามตรง ในตอนแรกที่เริ่มมีข่าวเรื่องใหม่ของชิงไก แล้วพล็อตเรื่องจะออกมาประมาณนี้ ผมไม่ค่อยมันใจเท่าไหร่ในเนื้อเรื่องของเขา สำหรับภาพอย่างไรก็คงดีอยู่ แต่พอได้ดู Trailer แล้วผมก็รู้ได้ว่าเรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่ดีอีกเรื่องของชิงไก และแล้วมันก็กลายเป็นเนื้อเรื่องที่ “ลงตัว” มากที่สุด และทำให้คนคล้อยตามมันไปได้

พวกเขาของคนสลับร่างกัน

เนื้อเรื่องดำเนินไปโดยตัวละครหลักสองคน “มิยะมิซึ มิตซึฮะ” หญิงสาวมัธยมที่พื้นเพอยู่ที่เมืองอิโตโมริ กิฟุ ฐานะทางบ้านค่อนข้างดี เป็นมิโกะ (ผู้ทำพิธี) ที่ศาลเจ้าที่ตระกูลเธอดูแลอยู่ เธอไม่ชอบชีวิตชนบทและอยากไปอยู่เมืองใหญ่อย่างโตเกียว อีกตัวละครหนึ่ง “ทะกิ ทะจิบานะ” ชายมัธยมในเมืองโตเกียว ทำงานพิเศษอยู่ที่ร้านอาหารอิตาเลียน ใช้ชีวิตตามปกติคนในเมืองใหญ่

เนื้อเรื่องผสมปนเปความ Realism, Fantasy และ Sci-Fi อย่างลงตัว

การที่จะเล่าเรื่องนี้โดยไม่สปอยเป็นเรื่องที่ยาก เนื่องจากเรื่องทั้งเรื่องมันเชื่อมโยงกันจนไม่สามารถตัดส่วนใดส่วนหนึ่งออกมาได้

วันหนึ่งเมื่อตื่นขึ้นมาพวกเขาก็สลับร่างกัน เด็กในเมืองกลายเป็นเด็นชนบท เด็กชนบทต้องใช้ชีวิตเป็นเด็กในเมือง ลักษณะให้ความรู้สึกเหมือนฝันไป ทั้งสองคนก็ต้องใช้ชีวิตในฐะนะอีกคนหนึ่ง

สปอยหนักขึ้น

พวกเขาสลับตัวกันบ่อยครั้งขึ้น และเริ่มแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้แค่ฝันกันไป แต่สลับร่างกันจริงๆ จึงเริ่มเขียนบันทึกไว้ในโทรศัพท์ บนหน้าบ้าง และแล้ววันหนึ่งพวกเขาก็เริ่มสลับร่างกันไม่ได้ เมื่อ “ดาวหาง” เข้ามาใกล้โลก

พวกเขาเริ่มความคิดที่จะตามหาอีฝั่งหนึ่ง มิตซึฮะเดินทางไปโตเกียวก่อนวันที่ดาวหางตก ทาคิเดินทางไปกิฟุ แต่ทั้งคู่ไม่เจอกัน สุดท้ายก็รู้แล้วว่าทั้งคู่สลับตัวกันแต่คนละเวลากัน ทาคิสลับตัวกับมิตซึฮะเมื่อสามปีที่แล้ว และดาวหางที่โคจรผ่านโลกได้แยกตัวออกเป็นสองส่วนและตกลงไปที่อิโตโมริพังพินาศไปแล้ว ดังนั้นเมื่อทาคิพยายามโทรหามิตซึฮะ จึงโทรไม่ติดในตอนแรก

แต่สุดท้ายทั้งสองก็หาวิธีการแก้ไขเหตุการณ์ได้

อารมณ์ขัน

อารมณ์ขันเล็กน้อยของเรื่องนี้ก็คือ เมื่อทาคิไปอยู่ในร่างของมิตซึฮะเหมือนตื่นขึ้น สิ่งแรกที่เขาจับก็คือ “นม” มักจะเป็นช่วงที่น้องของมิตซึฮะมาปลุกพอดี เลยสร้างความฮาให้ ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่เพศตรงข้ามจะสนใจในสิ่งที่เพศตนเองไม่มี (นานๆ ทีจะเห็นอารมณ์ขันมาจากผู้กำกับคนนี้เหมือนกัน) และใช้เป็นเครื่องมือในการทำให้คนไม่หลับ ในขณะที่กำลังปูทางเข้าสู่เนื้อเรื่องหลัก ส่วนตัวคิดว่ามีมากไปนิด

กลบจุดด่างพร้อย

มิตซึฮะ-ทาคิ สลับร่างกัน และช่วยกันเติมเต็มความต้องการของอีกฝ่าย มิตซึฮะช่วยสานสัมพันธ์กับ “มิกิ โอะคุเดะระ” รุ่นพี่ที่ทำงานพิเศษของทาคิได้ และเติมเต็มความต้องการของตัวเองที่อยากมาใช้ชีวิตอยู่มีที่มีสีสันอย่างโตเกียว หลุดพ้นความพันธะที่ผูกตัวเองไว้อีกด้วย อีกทางหนึ่งทาคิก็ทำหลายอย่างซึ่งมิตซึฮะทำไม่ได้เช่นกันในหลายๆ เรื่อง แม้กระทั้งคิดแผนการที่จะทำให้มิตซึฮะและคนในเมืองรอดจากดาวตก ทาคิยังทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากชีวิตของตนที่ดูท่าจะไม่ได้มีความสุขและความพิเศษอะไรนัก

แม้ในช่วงแรกจะยุ่งไปบ้าง แต่ก็ทำให้พวกเขาเริ่มผูกพันกันดั่ง “มุซึบิ”

ความเชื่อมโยงดั่งเชือกที่ร้อยโยงไปทั้งเนื้อเรื่อง

“มุซึบิ” วิชาการทำเชือกที่คุณยายของมิตซึฮะสอนแกหลานๆ ทั้งสองคน มิตซึฮะและน้องของเธอ ในส่วนนี้จะมีบางอย่างเป็น Symbolic แฝงไว้ หรือมีโควตบางอย่างอยู่ คุณยายของมิตซึฮะพูดประมาณว่า “มุซึบิ” มันพันต่อกัน บางครั้งมันก็หลุดออก แล้วก็กลับมาพันกันใหม่ “มุซึบิ” นั้นแปลว่าปม ดังนั้นมันจึงหมายถึงความสัมพันธ์ ที่บางครั้งก็แนบชิด หรือบางครั้งก็คลายออก และก็อาจะกลับมาแน่นใหม่ ดังนั่น “มุซึบิ” จึงเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งน้ำ ข้าว สาเก แม้แต่ชา และยังเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อมิตซึฮะกับทาคิเข้าด้วยกัน

อีกทั้งยังมี 口噛み酒 (Kuchikamizake) เป็นสาเกประเภทหนึ่งที่นางเอกต้องทำพิธีทำ เป็นประเพณีอย่างหนึ่ง โดยใช้ข้าวเคี้ยวในปากและคายออกมา อ้างว่าเป็นแอลกอฮอล์ประเภทแรกๆ ของโลก “口” นั้นแปลว่าปาก “噛み” แปลว่าเคี้ยว นั่นเอง

ชื่อของนางเอกคือ “Miyamizu” เป็นชื่อของเทพเจ้าเกี่ยวกับน้ำ (อ้างอิงจากทวิตเตอร์ของชิงไก) ดังนั้นชื่อนางเอกเกี่ยวข้องกับน้ำ เห็นได้จากคำว่า “Mizu” ที่แปลว่าน้ำ อีกทั้งชื่อของพระเอก “Taki” ก็ยังแปลว่า น้ำตก อีกด้วย (瀧) ซึ่งน้ำในเรื่องนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของตัวละครที่ดำเนินเรื่องอยู่ และใช้กันในการเชื่อมต่อกัน

สปอย

ความสัมพันธ์ของพวกเขาที่เป็นดั่ง “มุซึบิ” มิตซึฮะและทาคิไม่สามารถขาดจากกันได้ มิตซึฮะและทาคิตามหากัน มิตซึฮะมาหาทาคิที่โตเกียว แต่หารู้ไม่ว่าเป็นสามปีที่แล้ว มิตซึฮะจึงได้ให้ “เชือก” ซึ่งแสดงถึงหลักฐานแห่งการมีอยู่ของ “มุซึบิ” - ความสัมพันธ์ของทั้งสอง

เมื่อทาคิไปตามหานางเอก และไปอย่างสถานที่เก็บ Kuchimizake ซึ่งทาคิเป็นคนนำไปไว้เพราะวันนั้นทาคิอยู่ในร่างของมิตซึฮะ ทาคิได้ดื่มลงไปและสลับร่างกับมิตซึฮะ ทั้งสองจึงเชื่อมต่อกันได้โดยผ่าน Kuchikamizake ที่มิตซึฮะทำขึ้นนั่นเอง น้ำจึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองข้องเกี่ยวกัน

เวลาผ่านไปแต่ “มุซึบิ” ยังคงอยู่

สปอย

หลังจากพวกเขาสลับร่างกันครั้งสุดท้าย ต่างคนต่างลืมชื่อ นับวันเข้ารายละเอียดก็เริ่มจางลง แต่ความรู้สึกที่ผูกผันกันยังคงอยู่ พวกเขาจึงรู้สึกว่าพวกเขาต้องการคนๆ หนึ่งอยู่ตลอด และไม่วายจะหาเขาคนนั้นตามที่ต่างๆ อย่างมีความหวัง

จากความสัมพันธ์ที่เหมือนจะจงใจให้เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าจากดาวหาง หรือจุดประสงค์ที่จะช่วยให้ผู้คนรอดจากการตกของดาวหางจากใครซักคนในอดีต พวกเขาไม่ได้ทิ้งโอกาสไปเฉยๆ และพยายามจะพัฒนาความสัมพันธ์กัน พวกเขาจึงตามหากันหลังจากที่ไม่ได้ฝัน-สลับร่างกันอีกแล้ว และโชคชะตาก็พาพวกเขามาเจอกันเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี

ภาพ 2D ที่ไม่ธรรมดา

ตั้งแต่ผมดูชิงไกมา สไตล์ของแกคือจะทำภาพให้สมจริง และบ้างครั้งจะทำให้สมจริงมากขึ้นจนมันเกินจริง และสวยงาม เป็นจุดแข็งของเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆ เรื่องนี้ก็เช่นกัน

สิ่งเด่นๆ ของงานนี้และงานอื่นๆ ของชิงไก คือ ความละเอียด เก็บรายละเอียดทั้งหมด ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ มีความ HDR กลางคืนมีดาวระยิบระยับ ดาวหางอลังการสีสันสวยงาม ภาพวิวทิวทัศน์ที่ประการตา เล่นกับแสงแฟร์ของพระอาทิตย์ การเปลี่ยนไปของช่วงเวลากลางวันกลางคืน-ท้องฟ้าเปลี่ยนสี

งามภาพของเรื่องนี้ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศและอารมณ์ที่ดีให้คนดูเป็นอย่างมาก

ความรู้สึกของหลายๆ คนที่ได้รับฟังมาหลังดูจบคือ พวกเขาอยากไปตามรอย เพราะสถานที่ที่ชิงไกเก็บรวบรวมนำมาสร้างมีความสวยงามอย่างยิ่ง อลังการยิ่ง จนอย่างไปเห็นด้วยตาตน

เพลงบอกเล่าเรื่องราว

เพลงเป็นส่วนสำคัญอย่างมากของเรื่องนี้ เป็นส่วนหนึ่งของหนังจริงๆ ไม่ใช่แค่เพียงเป็นพื้นหลัง เพราะถ้าหากแปลออกจริงๆ จะรู้ว่าเพลงบอกเล่าเรื่องราวในขณะที่เพลงกำลังบรรเลงได้เป็นอย่างดี จึงเป็นเครื่องมือใช้บอกเล่าเรื่องราว และสร้างอารมณ์ให้แก่ผู้ชม เพลงและหนังเรื่องนี้พึ่งพิงกันอย่างไม่สามารถขาดอันใดอันหนึ่งได้ จนบางท่านกล่าวว่าบางครั้งมันกลายเป็น MV สำหรับเพลงไปเลย

ความดีงามของเพลงนี้ต้องยกให้กับ RADWIMPS วงที่มาแต่งเพลงให้กับเรื่องนี้โดย Yojiro Noda นักร้องนำของวงเป็นคนแต่งทำนองทั้งหมด ชิงไกบอกว่า “ในขณะต้องการให้ตัวละครแสดงออกถึงตนเอง แต่มันเป็นเรื่องยาวที่จะถ่ายทอดความรู้สึกบางอย่าง ดังนั้น Yojiro จึงช่วนเติมเต็มส่วนนี้ให้ผ่านเพลง”

อย่างเช่น “Sparkle”, “ประกายแสง” - RADWIMPS

คำเตือน MV เพลงสปอยหนักมาก ยิ่งถ้าฟังญี่ปุ่นเข้าใจนี่สปอยฉากนั้นเลย

tokei no hari mo futari o

yokome ni mi nagara susumu
sonna sekai o futari de
isshou
iya, nan-shou demo

เข็มนาฬีกาและเราทั้งสองคน

ต่างเดินไปข้างหน้าระหว่างที่เหลือบมองกัน

ในโลกใบนั้นเราทั้งสองคน

ใช้ชีวิตหนึ่งชีวิต

ไม่สิ ไม่ว่าอีกกี่จะอีกกี่บทตอน

ikinuite ikou

เราจะมีชีวิตอยู่ผ่านมัน

“Nandemonaiya”, “ไม่เป็นไรหรอก” - RADWIMPS

ปล. เวอร์ชั่นข้างบนเป็นเวอร์ชั่นที่นักพากย์ที่พากย์มิตซึฮะนำมาโคฟเวอร์ในรายกายเอ็มสเตชั่น เวอร์ชั่นของ RADWIMPS น่าจะโดนเก็บหมดแล้วในยูทูป

bokura taimufuraiyā toki o kakeagaru kuraimā

toki no kakurenbo hagurekko wa mō iya na n da

พวกเราคือผู้บินผ่านกาลเวลา ผู้ที่ปีนไต่ข้ามกาลเวลา

พวกเราหมดความอดทนกับเกมเล่นซ่อนหาของกาลเวลา

ureshiku te naku no wa kanashiku te warau no wa

kimi no kokoro ga kimi o oikoshi ta n da yo

ร้องไห้ด้วยความดีใจ ยิ้มด้วยความเศร้าใจ

หัวใจของคุณนั้นได้เดินเลยหน้าตัวของคุณแล้ว

เพลงสอดแทรกสิ่งที่ต้องการสื่อในฉากนั้นได้ดี “Sparkle” บรรเลงขึ้นเมื่อฉากที่ดาวหางกำลังจะตก “Nandemonaiya” บรรเลงขึ้นเมื่อฉากจบ ส่วนตัวค่อนข้างชอบเนื้อเพลงมาก เพราะสอดแทรกแนวคิดอะไรบางอย่างไว้ด้วย

เครดิตเนื้อเพลงแปลไทย: https://whitehiganbana.wordpress.com

ท้องฟ้า-รถไฟ-ระยะทาง-ข้อความ

ว่ากันว่าทั้งสี่อย่างเป็นเอกลักษณ์ของชิงไก ปรากฏอยู่ในทุกๆ เรื่อง ไม่เว้นเรื่องนี้ ดังที่ผมได้กล่าวไป เรื่องนี้คือ “ความลงตัว” ของความเป็นชิงไก

ถ้าหากใครรู้จักชิงไกมาบ้าง ก็จะรํู้ว่าเขาเคยสร้างภาพยนตร์อนิเมชั่นหลายรูปแบบ เรื่องนึงเป็นเรื่องการต่อสู้ในอวกาศ เป็นการพลัดพรากของหญิงสาวและชายหนุ่ม ระยะทางเป็นปีแสง เครื่องมือที่ใช้ติดต่อคือโทรศัพท์ส่งข้อความ ซึ่งยิ่งห่างก็จะยิ่งส่งกลับมาช้าเท่านั้น อีกเรื่องเป็นเรื่องของชายหนุ่มกับหญิงสาววัยเยาว์ที่พลัดพรากกันเพราะต้องย้ายบ้าน ระยะทางตั้งแต่ทางเหนือถึงทางใต้ของญี่ปุ่น มีรถไฟเป็นส่วนประกอบสำคัญ และมีอีกหลายๆ เรื่องด้วยกัน โดยมีสี่อย่างด้านบนเป็นส่วนประกอบเสมอๆ

ในเรื่องนี้ระยะทางระหว่างกิฟุถึงโตเกียว อาจไม่ห่างกันมากเท่าเรื่องอื่นๆ แต่หากผสมรวมความแฟนตาซีจากเรื่อง Children Who Chase Lost Voices ระยะทางและการใช้ข้อความสื่อสารจาก 5 Centimeters Per Second กับ Voices From Distant Stars ความดราม่าที่ถูกปรับปรุงจาก The Garden of Words รถไฟและการตามหาจาก 5 Centimeters Per Second

พูดอย่างง่ายคือหลังจากชิงไกได้ลองผิดลองถูกกว่าหลายปีจนมาเกิดเป็นเรื่องนี้ เรื่องราวของหญิงและชายวัยรุ่นที่สลับร่างกัน มีความแฟนตาซี โรแมนซ์ ไซไฟ ดราม่า ในเรื่องเดียวกัน มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น

ความรู้สึกหลังดูจบ

ผมเป็นคนที่มี “ภูมิคุ้มกัน” ในหนังแนวนี้ระดับหนึ่ง และด้วยอายุที่ไม่มาก จึงไม่ค่อยจะ “อิน” กับการตามหาคนที่รัก หรือความเหงา ฯลฯ อะไรมากมาย ที่ผมดูเรื่องพวกนี้มากเพราะชอบบรรยากาศของมันและอยากที่จะ “เรียนรู้” อะไรบางอย่าง ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของภาพยนตร์ ที่จะตัดต่อย่างไรให้ผม “จม” ไปกับความรู้สึกของตัวละครได้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำได้ดีมาก ทั้งภาพเพลงและบท พาตัวเราเข้าไปสู่อารมณ์ของตัวละครนั้นๆ ได้อย่างดี

หากจะบอกความรู้สึกนั้น หลังจบแล้วผมรู้สึกแบบ “เออ สุดท้ายพวก(มึง) ก็ตามหากันสำเร็จนะ ดีใจด้วย” พร้อมความรู้สึกชอบในเสียงเพลงกับภาพที่สวยงาม แต่ในอีกทางนึงผมก็รู้สึกตะหงึดๆ ใจที่มันจบแบบนี้ เพราะผมกลับรู้สึกว่ามันไม่ควรหากันเจอ มิตซึฮะกับทาคิ มันบังเอิญเกินไป โชคชะตะมันเข้าข้างเกินไป ทำให้มันอิมแพคไม่พอสำหรับผม (และบางคน ที่เคยคุยด้วย) อุส่าบิ้วต์อารมณ์คนดูมาตั้งนาน ให้ลุ้นมาตั้งนาน น่าจะพังจิตใจคนดูซักหน่อย (:p)

ส่วนตัวผมนั้นพอฟังภาษาญี่ปุ่นและคุ้นเคยกับมันบ้าง เพราะเสพวัฒนธรรมญี่ปุ่นเป็นปกติ ทั้งเพลง ภาพยนตร์ และอนิเมะ ดังนั้นจึงไม่เป็นปัญหากับการดูเรื่องนี้นัก ที่ต้องอ่านซับ เพราะบางครั้งไม่ต้องอ่านก็ได้ และผมจึง “อิน” กับเพลงมากกว่าคนที่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นมา

ผมคิดว่าบางที่อาจจะเป็นปัญหาของเรื่องนี้ด้วย ที่เนื้อเรื่องมันผูกโยงกันอย่างขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้ ทำให้หากพลาดจุดใดจุดหนึ่งอาจจะงงและไม่เข้าใจได้ ตอนต้นเรื่องที่มีการปูทางมาเป็นคำพูดของตัวละคร หากไม่เข้าใจ ก็ไม่อาจเข้าใจถึงสิ่งที่ภาพยนตร์ต้องการจะสื่อได้

หากให้คะแนนผมคงให้ 97/100 หาร 10 ปัดขึ้นเป็น 10/10 อย่างไรก็ดี คะแนนที่ผมให้นั้นไม่ได้พิสูจน์ความดีงามของภาพยนตร์จนกว่าคุณจะได้เห็นด้วยตาคนตน สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น บางทีคุณอาจจะไม่ชอบเหมือนผมก็ได้ หากเป็นธรรมดาของมนุษย์

[Review] “Kimi no Na wa” ความลงตัวจากเอกลักษณ์ทั้งหมดของ Makoto Shinkai
Share this